nursekingnarai hospital lopburi

5 พ.ย. 2555

บทความ รางวัลชนะเลิศ เรื่องเล่าจากใจ

บทความ รางวัลชนะเลิศ เรื่องเล่าจากใจ


ชื่อเรื่อง ….Last Kiss….

 เจ้าของผลงาน นางสาวอรุณศรี จันทร์เผือก


หน่วยงาน ห้องผู้ป่วยหนัก อายุรกรรม โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช

เบอร์ติดต่อ 036 – 321537 ต่อ 4500 , 086 - 3555837


หลังจากผ่านการขึ้นเวรมาตลอดคืนอย่างเหนื่อยล้าในใจก็เฝ้าคิดว่าเราเกิดมาทำไม.... ทำไมต้องมาทำงานนี้ด้วยงานที่ทั้งหนัก... ทั้งเหนื่อย...พักผ่อนก็ไม่เป็นเวลา ต้องเจอแต่ความทุกข์ทรมานของคนที่เจ็บไข้ หลังจากที่หยุดความคิดที่ทำให้ท้อแท้ใจเหล่านั้นแล้วก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า “ เดี๋ยวก็ได้ลงไปพักผ่อนแล้ว วันพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ ” ก่อนก้าวเท้าออกจากตึกสายตาได้เหลือบไปเห็นหญิงวัยกลางคนกำลังร้องไห้ฟูมฟายอย่างควบคุมสติไม่ได้ เธอคือ คุณปราณี ภรรยาของคุณอีริค ผู้ป่วยชาวต่างชาติซึ่งกำลังกระสับกระส่าย กระวนกระวายจากอาการระบบทางเดินหายใจล้มเหลว หลังจากป่วยด้วยโรคหัวใจมายาวนานจนยากเกินเยียวยา อาการดำเนินสู่วาระสุดท้ายของชีวิต

หากว่าดิฉันจะก้าวเท้าเดินลงจากตึกไปก็ได้ เพราะเลยเวลาทำงานของดิฉันแล้ว แต่จากการที่ดูแลกันมานาน จากการพูดคุยสอบถามข้อมูลกับคุณปราณี ในทุกๆวันที่เธอมาเยี่ยมสามีของเธอด้วยความรักและห่วงใยเหลือเกิน เธอเล่าว่าสามีของเธอเป็นคนเยอรมัน มีบุตรด้วยกัน 1 คน ตอนนี้ทำงานอยู่เยอรมันภาษาที่เธอใช้กับสามีเป็นภาษาดัตซ์ ส่วนภาษาอังกฤษสามีเธอพอสื่อสารได้เล็กน้อย เธอกับสามีของเธอตั้งใจมาใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ที่ประเทศไทย เพราะสามีของเธอรู้สึกผูกพันและรักประเทศไทยมาก ถึงขนาดเคยบอกกับเธอว่าอยากมาตายที่ประเทศไทย ในช่วงที่อาการของโรคดำเนินมาถึงระยะสุดท้าย ทางทีมที่ให้การดูแลพยายามที่จะค้นหาสิ่งยึดเหนี่ยวทางจิตใจให้กับคุณอีริค คุณปราณีบอกว่าคุณอีริคไม่ได้ศรัทธาในศาสนาใดๆ แต่คุณอีริคศรัทธาในตัวบุคคล บุคคลที่เขาศรัทธาทำให้เราอดปลาบปลื้มใจไม่ได้ ก็คือ รัชกาลที่ 5 กับ รัชกาลที่ 9 ของเรา เขาบอกว่านั่นคือ My’s Hero ทางทีมเลยอนุญาตให้คุณปราณีได้นำพระบรมฉายาลักษณ์ของทั้ง 2 พระองค์มาตั้งบริเวณข้างเตียง ทุกครั้งที่คุณ อีริคมีอาการการเหนื่อยหอบเราจะเห็นเขาเหลือบมองไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ของ 2 พระองค์เหมือนจะขอกำลังใจ
ระหว่างที่คุณอีริคนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ภาพที่เราจะเห็นชินตาคือ คุณปราณีนั่งกุมมือคุณอีริคอยู่ไม่ห่างตลอดช่วงเวลาเข้าเยี่ยมท่ามกลางเพลงโปรดภาษาดัตซ์ ที่ทางทีมให้การดูแลอนุญาตให้เธอนำมาเปิดให้สามีเธอฟัง เธอบอกในชีวิตเธอไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน คุณอีริคคือทั้งหมดของทั้งชีวิตเธอ ถ้าขาดคุณอีริคไปก็ไม่รู้ว่า เธอจะอยู่ได้อย่างไรและภาพตรงหน้าตอนนี้ คือเธอร้องไห้ฟูมฟายปานจะขาดใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสามีที่ใกล้จากเธอไปในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ภาพที่คุณอีริคเหนื่อยหอบกระสับกระส่าย เหมือนอยากจะสื่อสารให้เราเข้าใจ
แต่ติดที่เขายังใส่ท่อช่วยหายใจไว้ทำให้พูดสื่อสารกับเราไม่ได้
แต่สายตาที่มองมายังคุณปราณียังแฝงด้วยความเป็นห่วงกังวลเป็นอย่างยิ่ง

ทั้งที่เหนื่อยและเพลียจนแทบจะหมดแรงแต่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้านั้น มันเป็นภาพที่ทำให้ดิฉันยากที่จะก้าวเท้าเดินจากไปโดยที่ไม่ทำอะไรให้กับสามีภรรยาคู่นี้ ต้องยอมรับว่าเป็นการยากที่จะเตรียมกิจกรรมวาระสุดท้ายให้กับชาวต่างชาติ ซึ่งต่างกันทั้งทางด้านภาษา ความเชื่อ ความศรัทธา และด้วยทักษะทางด้านภาษาที่ดิฉันมีอยู่น้อยนิด แต่ด้วยความอยากช่วยเหลือเขา ดิฉันเลยพยายามที่จะใช้ภาษาสากล นั่นก็คือภาษากายรวมกับภาษาอังกฤษ ดิฉันเดินเข้าไปสัมผัสมือของคุณปราณีพร้อมกับบีบเบาๆ เพื่อเรียกสติเธอกลับมา “คุณปราณีคะ ทำใจดีๆ ตั้งสติไว้นะคะ ตอนนี้คุณอีริคเขาต่อสู้กับโรคของเขาจนถึงที่สุดแล้ว เราได้ให้การดูแลเขาอย่างดีที่สุด คนที่คุณอีริคเป็นห่วงมากที่สุดตอนนี้ ก็คือคุณกับลูกของคุณ เพราะฉะนั้นตอนนี้คุณต้องเข้มแข็ง และตั้งสติใช้เวลาที่เหลืออยู่ ช่วยกันส่งคุณอีริคให้หมดห่วง หมดกังวล และมีความสุขที่สุดด้วยกันนะคะ ” คุณปราณี หยุดฟูมฟายยกมือขึ้นปาดน้ำตา อีกมือหนึ่งบีบมือตอบดิฉันเบาๆ เป็นสัญญาณว่าเธอได้ตั้งสติแล้ว ดิฉันได้บอกให้คุณปราณี โทรศัพท์ทางไกลไปหาลูกชายที่เยอรมัน เพื่อให้เขาได้พูดกับพ่อเขาเป็นครั้งสุดท้าย คุณปราณีจึงได้รีบโทรศัพท์ไปหาลูกชายในทันที หลังจากนั้นดิฉันจึงจับมือคุณปราณีไปวางบนมือของคุณอีริค แล้วสัมผัสเบาๆ “ Eric This’s your wife hand ” ดิฉันได้บอกกับคุณอีริค ว่า นี่คือ มือของภรรยาคุณนะ... “ She loves you ” เธอรักคุณนะ.... แล้วดิฉันได้ชี้ไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ของรัชกาลที่ 5 กับ รัชกาลที่ 9 ที่ตั้งไว้ที่ข้างเตียง “ And…..that your hero ” และนั่นก็รูปฮีโร่ของคุณนะ…..“ And…. now your son in the line ” และตอนนี้ลูกชายคุณก็อยู่ในสายแล้ว.......“He want to talk with your ” เขาต้องการจะพูดกับคุณ.....

ภาษาอังกฤษอันกระท่อนกระแท่นพร้อมสัมผัสที่พยายามจะทำให้แผ่วเบาที่สุดของดิฉัน ดูเหมือนจะสื่อถึงคุณอีริคได้ คุณอีริคมองตามมาทางโทรศัพท์ที่คุณปราณีเปิด speaker phone ให้เขาฟังด้วยสีหน้าอิดโรย แต่ประกายตาแฝงไปด้วยความดีใจ ลูกของคุณอีริคส่งเสียงผ่านสายโทรศัพท์ ดิฉันไม่รู้ว่าคำพูดนั้นแปลว่าอะไร แต่มันคงเป็นคำพูดที่ทำให้คุณอีริคคลายความกังวลและหมดห่วงลงได้ ดิฉันสังเกตจากแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข ทั้งที่ลมหายใจยังหอบเหนื่อย คุณปราณียกมือคุณอีริคขึ้นมาจูบเบาๆพร้อมกับสะอื้นไห้ มันเหมือนมีก้อนขึ้นมาอุดตันบนอกของดิฉัน มันตื้นตันอย่างบอกไม่ถูก และอดที่จะน้ำตาคลอตามภาพที่เห็นตรงหน้าไม่ได้ หากแต่หน้าที่ของดิฉันยังไม่สิ้นสุด ดิฉันต้องดึงสติของตัวเองกลับมาอีกครั้ง “คุณปราณีคะ” ดิฉันพูดพร้อมกับบีบมือคุณปราณีเบาๆ เพื่อเรียกสติคุณปราณี เมื่อเหลือบไปเห็นชีพจรของคุณอีริคที่อ่อนลงเต็มที่ “บอกเขานะคะ ว่าคุณรักเขาแค่ไหน บอกเขาไปว่าคุณเข้มแข็งขนาดไหน เขาจะได้ไม่ห่วงไม่กังวลกับคุณ” คุณปราณีปาดหยาดน้ำตา พลางสูดลมหายใจลึกๆ เหมือนพยายามจะกลั้นความรู้สึกเสียใจเหล่านั้น มือลูบเบาๆบนหลังมือคุณอีริค เธอพูดกับ
เขาเป็นภาษาดัตซ์ ซึ่งดิฉันเองก็ไม่เข้าใจความหมาย แต่ละประโยคสำหรับเธอดูเหมือนมันเป็นการยากที่จะเปล่งเสียงออกไป เธอหันมามองหน้าดิฉันเหมือนกับจะขอกำลังใจ ดิฉันลูบที่ไหล่เธอเบาๆ พร้อมกับบอกว่า “ จูบลาเขานะคะ จูบเขาเป็นครั้งสุดท้าย ”คุณปราณีก้มลงไปจูบเบาๆที่ริมฝีปากของคุณอีริคทั้งๆที่ยังใส่ท่อช่วยหายใจ น้ำตาหยดออกมาจากตาคุณอีริค พร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆของคนที่ใกล้ตาย ดิฉันก็เพิ่งจะเห็นกับตาวันนี้ ชีพจรค่อยๆยืดเป็นเส้นตรงเหมือนเป็นการร่ำลา มันช่างเป็นภาพการตายที่สวยงามที่สุด เท่าที่ดิฉันเคยได้เห็นมาตลอดการทำงานของดิฉัน ดิฉันบอกกับคุณปราณีว่า “คุณอีริค เขาได้จากเราไปแล้วนะคะ เขาหลับสบายแล้วนะคะ” คุณปราณียกมือของสามีมาจูบพร้อมกับสะอื้นเบาๆ ดิฉันอดที่จะชื้นชมในความเข้มแข็งของเธอไม่ได้ มือดิฉันสัมผัสหัวไหล่เธอเบาๆ เป็นการปลอบโยน
หลังจากจัดการเรื่องศพของคุณอีริคเรียบร้อย กำลังจะเคลื่อนย้ายร่างไร้วิญญาณของเขาไปยังห้องเก็บรักษาศพ คุณปราณีเดินเข้ามาจับมือดิฉันแล้วบอกว่า “ขอบคุณนะคะ คุณพยาบาลที่คุณทำให้ดิฉัน มีสติในช่วงเวลาที่ยากแก่การทำใจ ขอบคุณมากนะคะ ขอบคุณที่ทำให้ดิฉันได้ทำในสิ่งที่วิเศษที่สุด ที่ไม่คิดว่าจะทำให้เขาได้แบบนี้” และเพียงแค่ประโยคนี้ที่ดิฉันได้ยิน มันทำให้การเสียสละเวลาของดิฉันไม่ได้สูญเปล่าเลย ความเหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า จากการทำงานหายไปหมดสิ้น ความรู้สึกปลาบปลื้ม อิ่มเอิบใจเข้ามาแทนที่ ดิฉันเดินลงมาจากตึกกับคำถามเดิมที่กลับเข้ามาในหัวอีกครั้ง “ เราเกิดมาทำไม” “ทำไมต้องทำงานนี้ด้วย” แต่ครั้งนี้ดิฉันมีคำตอบของคำถามนั้นแล้ว

“เราเกิดมาทำไม”

“ เราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่.....หน้าที่ของความเป็นมนุษย์ หน้าที่..... ที่คอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์”

“ แล้วทำไมต้องมาทำงานนี้”

“งานนี้เป็นงานที่ทำให้เราได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ได้ทำในสิ่งที่น่าภูมิใจ ได้อิ่มเอิบหัวใจในทุกวินาทีที่ได้ทำ”

ขอบคุณ.... ขอบคุณที่ทำให้ดิฉันได้เกิดมาอยู่ในวิชาชีพนี้ วิชาชีพ....พยาบาล




ขอชื่นชมและยกย่องคนดีศรีนารายณ์คือ นางสาวอรุณศรี จันทร์เผือก
หน่วยงาน ห้องผู้ป่วยหนัก อายุรกรรม โรงพยาบาลพระนารายณ์มหาราช

ที่ถ่ายทอดบทความที่ยอดเยี่ยม แด่พยาบาลวิชาชีพ แห่งสภาการพยาบาลแห่งประเทศไทย

และคุณ ชลิตา มาตระกูล ตึกเมตตาล่าง ส่งโปสเตอร์เข้าร่วมแสดงในงานด้วย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น